ระบบสารสนเทศด้านการบัญชีจะมีส่วนประกอบหลัก 2 ส่วน คือ
1. ระบบบัญชีการเงิน (Financial Accounting System) บัญชีการเงินเป็นการบันทึกรายการค้าที่เกิดขึ้นใน รูป ตัวเงิน จัดหมวด หมู่รายการต่างๆ สรุปผลและตีความหมายในงบการเงิน ได้แก่ งบกำไรขาดทุน งบดุล และงบกระแส เงินสด โดยมี วัตถุ ประสงค์หลัก คือ นำเสนอสารสนเทศแก่ผู้ใช้และผู้ที่สนใจข้อมูลทางการเงินขององค์การ เช่น นักลงทุน และ เจ้าหนี้ นอกจากนี้ยัง จัดเตรียมสารสนเทศในการตัดสินใจของผู้บริหาร ซึ่งนักบัญชีสามารถนำเทคโนโลยีสารสนเทศ มาใช้ในการประมวลข้อมูล โดยจด บันทึกลงในสื่อต่างๆ เช่น เทป หรือจานแม่เหล็ก เพื่อรอเวลาสำหรับทำการประมวล และแสดงผลข้อมูลตามต้องการ
2. ระบบบัญชีบริหาร (Managerial Accounting System) บัญชีบริหารเป็นการนำเสนอข้อมูลทางการเงินแก่ ผู้บริหาร เพื่อใช้ในการ ตัดสินใจทางธุรกิจ ระบบบัญชีจะประกอบด้วย บัญชีต้นทุน การงบประมาณ และการศึกษาระบบ โดยมีลักษณะสำคัญคือ
- ให้ความสำคัญกับการจัดการสารสนเทศทางการบัญชีแก่ผู้ใช้ภายในองค์การ
- ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานในอนาคตของธุรกิจ
- ไม่ต้องจัดทำสารสนเทศตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป
- มีข้อมูลทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงิน
- มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับให้สอดคล้องกับความต้องการใช้งาน
ระบบสารสนเทศทางการบัญชี จะให้ความสำคัญกับการรวบ รวมข้อมูลและการติดต่อสื่อสารทางการเงิน ซึ่งเป็น กระบวนการติดต่อสื่อสารมากกว่าการวัดมูลค่า โดยที่ AIS จะแสดงภาพรวม จัดเก็บ จัดโครงสร้าง ประมวลข้อมูล ควบคุมความปลอดภัย และการรายงานสารสนเทศทางการบัญชี ปัจจุบันการดำเนินงานและการไหลเวียนของข้อมูลทางการบัญชีมีความซับซ้อนมาก ขึ้น ทำให้นักบัญชีต้องกำหนดคุณสมบัติของสารสนเทศด้านการบัญชีให้สัมพันธ์กับการ ดำเนินงานขององค์การ ประการสำคัญ AIS และระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการจะมีทั้งส่วนที่แยกออกจากกันและเกี่ยวเนื่อง สัมพันธ์กัน แต่ MIS จะให้ความสำคัญกับการจัดการสารสนเทศสำหรับการตัดสินใจของผู้บริหาร ขณะที่ AIS จะประมวลสารสนเทศเฉพาะสำหรับผู้ใช้งานทั้งภายในและภายนอกองค์การ เช่น นักลงทุน เจ้าหนี้ และผู้บริหาร เป็นต้น
ผู้ใช้ประโยชน์จากระบบสารสนเทศทางการบัญชี แบ่งได้ 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1. บุคคลภายในองค์กร ได้แก่ ผู้บริหารในระดับต่างๆ
2. บุคคลภายนอกองค์กร เช่น ผู้ถือหุ้น นักลงทุน เจ้าหนี้ หน่วยงานรัฐบาล และคู่แข่งขัน เป็นต้น
ระบบสารสนเทศทางการบัญชีที่เป็นประโยชน์ ได้แก่
– งบกำไรขาดทุน
– งบดุล
– งบกระแสเงินสด
ส่วนประกอบของระบบสารสนเทศทางการบัญชี
1.เป้าหมายและวัตถุประสงค์ ( Goals and Objectives )
2.ข้อมูลเข้า ( Inputs )
• ยอดขายสินค้า ราคาขายของกิจการ
• ราคาขายของคู่แข่งขัน ยอดขายของคู่แข่งขัน
3.ตัวประมวลผล ( Processor ) คือ เครื่องมือที่ใช้ในการแปลงสภาพจากข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ
• การคำนวณ การเรียงลำดับ
• การคิดร้อยละ
• การจัดหมวดหมู่ การจัดทำกราฟ ฯลฯ
4.ข้อมูลออกหรือผลลัพธ์ ( Output ) คือ สารสนเทศที่มีประโยชน์ต่อผู้ใช้
5.การป้อนกลับ ( Feedback)
6.การเก็บรักษาข้อมูล ( Data Storage )
7.คำสั่งและขั้นตอนการปฏิบัติงาน ( Instructions and Procedures )
8.ผู้ใช้ ( Users)
9.การควบคุมและรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ( Control and Security Measures )
วัตถุประสงค์ของระบบสารสนเทศทางการบัญชี มี 3 ประการ คือ
1.เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานประจำวัน
2.เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหาร
3.เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติตามภาระหน้าที่ทางกฎหมาย
หน้าที่ของระบบสารสนเทศทางการบัญชี
1.การรวบรวมข้อมูล ( Data Collection )
2.การประมวลผลข้อมูล ( Data Processing )
3.การจัดการข้อมูล ( Data Management )
4.การควบคุมข้อมูลและรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ( Data Control and Data Security )
5.การจัดทำสารสนเทศ ( Information Generation )
ประโยชน์จากสารสนเทศทางการบัญชี
1.
ให้ข้อมูลเพื่อใช้ในการปฏิบัติงานประจำวันแก่ผู้บริหารระดับล่างและพนักงาน
เพื่อใช้ในการประสานงาน ประเมินผลการปฏิบัติงาน
ควบคุมและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในหน้าที่งานหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบ
เช่น
รายงานการขาย
รายงานสินค้าคงเหลือ
รายงานเงินสดรับ-จ่ายประจำวัน
2. ให้ข้อมูลเพื่อใช้ในการตัดสินใจ วางแผน และควบคุมการดำเนินงานทั้งระยะสั้น และระยะยาวแก่ผู้บริหารระดับกลางและผู้บริหารระดับสูงเพื่อนำไปใช้ประกอบกับ ข้อมูลที่ไม่เป็นตัวเลขทางการเงิน บริหารงานด้านการตลาด การผลิต หรือทรัพยากรบุคคล เช่น กำลังซื้อของผู้บริโภค วิเคราะห์แนวโน้มการเพิ่มขึ้นหรือลดของยอดขายสินค้า
3.
ให้ข้อมูลขั้นพื้นฐานตามกฎหมายกำหนดแก่ผู้ใช้ภายนอก ประกอบด้วยตัวเลขในงบกำไรขาดทุน และงบดุล
หรือถ้าเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กิจการต้องจัดทำงบกระแสเงินสดเพิ่มเติมให้ผู้ใช้ภายนอกด้วย
2. ให้ข้อมูลเพื่อใช้ในการตัดสินใจ วางแผน และควบคุมการดำเนินงานทั้งระยะสั้น และระยะยาวแก่ผู้บริหารระดับกลางและผู้บริหารระดับสูงเพื่อนำไปใช้ประกอบกับ ข้อมูลที่ไม่เป็นตัวเลขทางการเงิน บริหารงานด้านการตลาด การผลิต หรือทรัพยากรบุคคล เช่น กำลังซื้อของผู้บริโภค วิเคราะห์แนวโน้มการเพิ่มขึ้นหรือลดของยอดขายสินค้า
เทคโนโลยีทางการบัญชี
1.โปรแกรมสำเร็จรูปทางการบัญชี คือ
โปรแกรมที่เน้นการบันทึก
การประมวลผลและการนำเสนอรายงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมโดยมีการบันทึกข้อมูล
รายวัน การผ่านบัญชีไปสมุดแยกประเภท
การรายงานสรุปผลในงบการเงินต่างๆผลลัพธ์ของโปรแกรมอาจอยู่ในรูปแบบเอกสาร
หรือรายงานต่างๆมีคุณสมบัติ ดังนี้
1.มีองค์ประกอบพื้นฐานของโปรแกรมครบถ้วน
2.มีโปรแกรมอรรถประโยชน์ด้านการกำหนดขนาดแฟ้มข้อมูล
3.ความสามารถของโปรแกรมในการเชื่อมต่อกับระบบปฏิบัติการที่มีขีดความสามารถในการทำงานสูง
4.มีความสามารถใช้การเชื่อมต่อข้อมูลบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบลูกข่าย แม่ข่าย
5.เป็นโปรแกรมที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งานสูง
6.มีระบบการกำหนดรหัสผ่านหลายระดับ
7.มีการสร้างแฟ้มหลักรวมทั้งการปรับปรุงข้อมูลในแฟ้มหลัก
8.มีระบบการรับเข้าข้อมูลและตรวจทานการรับเข้าข้อมูล
9.การป้อนข้อมูลทางหน้าจออยู่ในลักษณะของการรับข้อมูลไดมากกว่าหนึ่งรายการ
10.มีระบบป้องกันการผ่านบัญชีที่ผิดพลาด
11.มีความยืดหยุ่นของการปิดงวดบัญชี
12.มีโปรแกรมพิมพ์แบบฟอร์มเอกสารหรือรายงาน
13.การโอนย้ายข้อมูลภายในระบบสร้างความคล่องตัวให้กับผู้ใช้ข้อมูล
2.การนำเสนองบการเงินทางอินเทอร์เน็ต คือ
รายงานทางการเงินที่นำเสนอต่อผู้ใช้ทั้งภายในและภายนอกธุรกิจ
การนำเสนองบการเงินทางอินเทอร์เน็ตเป็นวิถีทางหนึ่งที่สามารถเชื่อมโยงงบการ
เงินได้กว้างไกลทั่วโลกอย่างไร้พรมแดน
3.โปรแกรมการวางแผนทรัพยากรองค์กร คือ
โปรแกรมสำเร็จรูปที่ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้สภาพแวดล้อมการทำงานแบบลูกข่าย
แม่ข่าย โดยทำการเชื่อมต่อกระบวนการทางธุรกิจภายในองค์การ
ในส่วนการประมวลผลธุรกรรมของระบบสารสนเทศทางธุรกิจต่างๆที่เกี่ยวข้องโดยมี
การใช้ฐานข้อมูลรวมขององค์การเพียงข้อมูลเดียวและมีการนำเข้าข้อมูลเพียง
ครั้งเดียวผู้ใช้ในหน่วยงานต่างๆ
ความสามารถของโปรแกรมการวางแผนทรัพยากรองค์การยุคปัจจุบัน
นอกจากการเชื่อมต่อระบบสารสนเทศภายในองค์การด้วยฐานข้อมูลเดียวกัน
ขยายขอบเขตไปถึงการเชื่อมต่อระบบสารสนเทศระหว่างองค์การเข้าด้วยกันหรืออีก
นัยหนึ่งคือ
การเชื่อมต่อระบบสารสนเทศภายในองค์การเข้ากับการเชื่อมต่อระบบสารสนเทศภายใน
องค์การคู่ค้า